‘FOMO เป็นคำย่อของกลุ่มอาการ Fear of Missing Out’ ขณะนี้มีคนในสังคมยุคใหม่จำนวนมากมีอาการของ FOMO ซึ่งหมายถึง กลุ่มอาการกลัวเป็นคนไม่สำคัญ กลัวไม่มีใครคิดถึง
ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม-สาวที่หมกมุ่นและ “ติด” การใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ทางอินเทอร์เนต เช่น การเล่นไลน์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ฯลฯ ยิ่งเล่นก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งเล่น ทำไมเป็นอย่างนั้น เป็นเพราะเขาสร้างโลกส่วนตัวเขาเองว่าเขาสามารถมี เพื่อนได้มากๆ มีความสำคัญที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัดและมีคนเข้ามาแสดงความเห็นกด Like ให้เขาด้วย ยิ่งมากเท่าไรยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสำคัญมีค่ามากขึ้นเท่านั้น
คุณคงอยากเห็นตัวอย่างของคนที่มีอาการ FOMO ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง
มีสามีคนหนึ่งมาปรึกษาผมว่าภรรยาเขา (อายุ 36 ปี) ติดการเล่นอินเทอร์เนตมากโดยเฉพาะการใช้เฟซบุ๊ค ทวิตเทอร์ และไลน์ เล่นตลอดเวลาแทบทั้งวันทั้งคืนเพราะเธอเป็นแม่บ้าน ไม่ได้ทำงานประจำ สามีอยากพูดคุยก็ไม่อยากพูดด้วย บางครั้งเธอออกไป ตามศูนย์การค้ากับสามีเธอจะเดินยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว (คงคิดถึง comment ต่างๆ ในการสื่อสารกับคนในเฟซบุ๊ค) และเธอจะทักคนแปลกหน้าได้สบายๆ แต่สั้นๆ เช่น สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ ซึ่งบางคนก็ทักตอบ บางคนก็ทำหน้าแปลกๆ เวลาอยู่กับสามีก็จะแยกตัวอยู่กับอินเทอร์เนต มักมีอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง ไม่อยากพูดกับใครๆ
สามีถามว่าเธอจะเป็นบ้าไหม แต่เธอยังพอพูดคุยรู้เรื่องผมไม่ได้เห็นภรรยาแต่ตอบได้ว่าถ้าปล่อยไว้เธออาจเป็นบ้าหรือป่วยทางจิตได้ เพราะเธอเริ่มแยกโลกส่วนตัวแล้ว ชักไม่อยากอยู่ในโลกของความเป็นจริง เธอมีโลกออนไลน์ส่วนตัวของเธอที่ทำให้เธอสนุก รู้สึกมีค่าและทันเหตุการณ์ ทันสมัย ในขณะที่โลกของความเป็นจริงเธออาจจะเบื่อหน่ายและไม่สนุก
เธอกลัวว่าเธอจะไม่มีความสำคัญ ไม่มีคนคิดถึง เธอจึงเล่นและติดอินเทอร์เนตมากขึ้น เพราะสามารถทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเธออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่พร้อมจะพูดคุยสั้นๆ ด้วยกันได้ เพราะต่างก็ FOMO ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ เธอไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ธรรมดาๆ ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง
FOMO เหมือนเป็นกลุ่มอาการ “หลง” ชนิดหนึ่งที่เป็นกันมากทั่วโลก ในอเมริกาก็มีคนเป็นแบบนี้มาก ในเมืองไทยก็มีมากขึ้น
ผลตามมาก็คือพวกนี้มักมีสมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวน ได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าไม่ได้เล่นอินเทอร์เนตจะหงุดหงิดง่าย หลายคน มีความวิตกกังวลกลัวการสูญเสียข่าวสารการติดต่อกับผู้คนอื่นๆ บางคนกำลังเป็นโรคซึมเศร้า โกรธง่าย และขาดความคิดสร้างสรรค์
หลายคนมีผลเสียตามไปถึงที่ทำงาน ทำให้ทำงานไม่ได้ ผลดี เข้ากับผู้คนรอบตัวไม่ดี เพราะขาด “ความสัมพันธ์” ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์จริงๆ ที่อยู่รอบตัว แต่รอคอยที่จะหาทาง “ติดต่อ” กับมนุษย์ในอากาศจำนวนมากทางเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่
ลองถามตัวเองและสังเกตผู้คนรอบข้างดูบ้างซิว่า มีใคร มีกลุ่มอาการ FOMO บ้างไหม ? หลายคนอาจต้องการการรักษาหรือบำบัดแล้วก็ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาได้ง่ายๆ หรอก เพราะโรค “ติด” อะไรสักอย่างรักษายากทั้งนั้นถ้าเขาไม่อยากให้รักษา ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ นะครับพี่น้องร่วมสังคม Social Network ทั้งหลาย
บทความโดย : ทรูปลูกปัญญา (www.trueplookpanya.com)
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ(จิตแพทย์)
แหล่งที่มา :